อุตสาหกรรมการผลิตในยุคแรกจะเน้นใช้แรงงานของคนเป็นหลัก
โดยเริ่มต้นจากครอบครัว ชุมชน สังคม และประเทศ
ซึ่งยังไม่มีแผนการเพิ่มผลผลิตแต่อย่างใด ทำให้คนงานทำงานโดยไม่มีความรู้
ไม่มีทักษะ และไม่มีความถนัดหรือความสามารถเฉพาะทางในงานที่ทำ ส่งผลให้ผลผลิตตกต่ำ
หรือมีจำนวนน้อยกว่าที่ควรจะเป็น
จึงต้องมีการพัฒนากระบวนการผลิตเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน
ความเป็นมาและแนวคิดเรื่องการเพิ่มผลผลิตนั้น
เริ่มต้นที่ประเทศสหรัฐอเมริกาในปี พ.ศ.2454 โดย เฟรดเดอริค ดับบลิว เทเลอร์ (Federick
W.Taylor) ได้รับการยกย่องว่าเป็นบิดาแห่งการบริหารเชิงวิทยาศาสตร์
ได้ทําการศึกษาเพื่อหาแนวทางการแก้ปัญหาเกี่ยวกับความสิ้นเปลืองวัตถุดิบ และพลังงานในกระบวนการผลิตที่มีสาเหตุมาจากการที่คนงานปฏิบัติงานไม่ตรงกับความรู้ความสามารถและความถนัด
ตลอดจนขาดขวัญกําลังใจในการทํางาน รวมถึงการบริหารงานที่ขาดประสิทธิภาพ
ทําให้ผลผลิตตกต่ำ Federick W.Taylor เน้นหลักการบริหารแบบวิทยาศาสตร์
ต้องการเปลี่ยนแปลงทัศนคติของพนักงานและฝ่ายบริหาร
ให้มองเห็นความจำเป็นในการนําหลักวิทยาศาสตร์มาใช้ในการบริหารงาน
ได้ทําการศึกษาเกี่ยวกับเรื่องเวลาและการเคลื่อนไหวในการทํางานของคนงานและได้ประกาศแนวทางการบริหารเชิงวิทยาศาสตร์ในหนังสือชื่อ Principles of Scientific
Management
สรุปเป็นหลักการทํางานได้
4 ประการ คือ
ดังนั้น Federick
W.Taylor ได้ให้แนวคิดด้านปริมาณงานเอาไว้ว่า
ถ้ากําหนดปริมาณงานที่เหมาะสมกับระยะเวลาที่มอบหมายก็จะส่งผลให้คนงานปฏิบัติงานได้เต็มความสามารถ
ฝ่ายบริหารก็ไม่ต้องมีปัญหา เรื่องการทํางานของคนงานอีก ผลการศึกษาของ Taylor
นับได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นของการเพิ่มผลผลิต
ความหมายของการเพิ่มผลผลิต
การเพิ่มผลผลิต (Productivity) ได้มีผู้ให้ความหมายแตกต่างกันไป เช่น การปรับปรุงประสิทธิภาพในการผลิต
การเพิ่มปริมาณผลผลิต เป็นต้น ความหมายการเพิ่มผลผลิต สามารถแบ่งออกเป็น 2 แนวคิด คือ
การเพิ่มผลผลิตตามแนวคิดทางวิทยาศาสตร์ หมายถึงอัตราส่วนระหว่างปัจจัยการผลิตที่ใช้ไป (Input) (แรงงาน เครื่องมือ วัตถุดิบ เครื่องจักร พลังงาน และอื่น ๆ)กับผลผลิต
ที่ได้จากกระบวนการผลิต (Output) (ตู้เย็น รถยนต์
การขนส่ง) คำนวณได้จาก
การเพิ่มผลผลิตตามแนวคิดทางเศรษฐกิจและสังคม หมายถึง การที่จะหาทางปรับปรุงสิ่งต่าง ๆ ให้ดีขึ้นอยู่เสมอ โดยมีความเชื่อว่าเราสามารถทำสิ่งต่าง ๆ ในวันนี้ให้ดีกว่าเมื่อวานนี้และวันพรุ่งนี้จะดีกว่าวันนี้ ซึ่งเป็นความสำนึกในจิตใจ (Consciousness of Mind) เป็นความสามารถ หรือพลังความก้าวหน้าของมนุษย์ที่จะแสวงหาทางปรับปรุงสิ่งต่าง ๆ ให้ดีขึ้นเสมอ ทั้งเรื่องของการประหยัดทรัพยากร พลังงาน และเงินตรา ที่ต้องร่วมมือปรับปรุงเร่งรัดการเพิ่มผลผลิตในทุกระดับ เพื่อหาความเจริญมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศไทยโดยรวม
สรุปว่าการเพิ่มผลผลิต (Productivity) หมายถึง
กระบวนการในการปฏิบัติงานเพื่อให้ได้สินค้า บริการ
หรืองานที่มีคุณภาพสอดคล้องกับความต้องการของลูกค้า ด้วยวิธีการในการลดต้นทุน
ลดการสูญเสียทุกรูปแบบ การใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า การใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสม
การพัฒนาศักยภาพของผู้ปฏิบัติงานในองค์กร และการใช้เทคนิคการทำงานต่าง ๆ
เข้ามาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน
อุตสาหกรรมผลิตไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมขนาดเล็ก
หรือใหญ่ก็ตามจะพบว่า “วัตถุประสงค์การผลิต คือ
การทำกำไรให้มากที่สุดโดยการยึดครองตลาดส่วนใหญ่ให้ได้และ
สามารถจ่ายเงินปันผลแก่ผู้ถือหุ้นให้ได้มากที่สุด”แต่ในสภาพความเป็นจริงแล้ววัตถุประสงค์
ของการผลิตองค์กรผู้ผลิตต่างๆ
ควรยึดถือแนวทางจากที่ เฮนรี่ ฟอร์ด (Henry Ford) ได้เขียนหนังสือไว้ในปี ค.ศ.1962 ที่ชื่อ Today
and Tomorrow หลักการคือ
เพื่อสร้างความพอใจให้แก่ลูกค้า
สนองตอบต่อพนักงานที่หน่วยงานต้องปฏิบัติ
คือ ด้านความปลอดภัย และขวัญกำลังใจ
การเพิ่มผลผลิตเป็นสิ่งที่ทุกคนในองค์กรต้องพยายามทำให้การผลิตขององค์กรดำเนินไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เพราะทรัพยากรต่าง ๆ นับวันจะขาดแคลนลง หรือลดน้อยลงไปทุกวัน
ดังนั้นองค์กรจึงต้องพยายามหาวิธีการเพิ่มผลผลิตในทุกวิถีทาง
เพื่อที่จะใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการที่จะทำให้การผลิตสินค้าเพียพอ
กับความต้องการของลูกค้าโดยพยายามให้เกิดการสูญเสียน้อยที่สุดหรือไม่มีการสูญเสียใดๆ เลยในกระบวนการผลิต
ซึ่งก็จะเป็นการประหยัดทรัพยากรที่มีให้ใช้ได้อย่างคุ้มค่า ดังนั้นความสำคัญของการเพิ่มผลผลิต
มีดังนี้คือ
หน่วยงานของตน
ดังนั้นการเพิ่มผลผลิตจึงมีความสำคัญต่อองค์กรในการช่วยลดต้นทุนการผลิต
ทำให้สินค้าที่ผลิตได้ใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า ลดการสูญเสียต่าง ๆ ในกระบวนการผลิต
อีกทั้งช่วยให้คนงานมีทัศนคติที่ดีในการทำงาน
เป็นการเพิ่มขวัญและกำลังใจในการทำงาน เพราะคนงานได้มีส่วนร่วมในการทำงาน
มีการเรียนรู้ในการใช้เทคโนโลยีใหม่ ๆ เป็นการเพิ่มทักษะในการทำงานและยังเป็นการพัฒนาให้คนงานมีความรู้ความสามารถความชำนาญในหน้าที่ของเขา
ซึ่งผลดีก็จะตกอยู่กับองค์กรนั่นเอง
สภาพสังคมและเศรษฐกิจของไทยปัจจุบัน
เป็นสภาพที่อยู่ในภาวะวิกฤตทั้งในด้านทรัพยากรที่ลดลงอย่างมาก
จากนโยบายของรัฐบาลที่ผ่านมามุ่งส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นอุตสาหกรรมใหม่ทำให้ส่งผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของคนไทย
ทั้งปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม ผลผลิตด้อยคุณภาพ ไม่เป็นที่พอใจของผู้บริโภค
ซึ่งถ้าเป็นเช่นนี้ต่อไปเรื่อย ๆ อาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อเศรษฐกิจของประเทศ
ซึ่งมีความจำเป็นต้องนำการเพิ่มผลผลิตมาแก้ปัญหาและสร้างคุณภาพของผลิตภัณฑ์
มีดังนี้
ทรัพยากรจำกัด
การเพิ่มผลผลิตเป็นเครื่องมือที่ทำให้เราใช้ประโยชน์จากทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดและนับวันจะน้อยลงให้เกิดประโยชน์สูงสุดและสูญเสียน้อยที่สุด
การเพิ่มผลผลิตเป็นเครื่องช่วยในการวางแผนทั้งในปัจจุบันในอนาคต
เช่น การกำหนดผลิตผลในสัดส่วนที่เหมาะสมกับความต้องการ เพื่อไม่ให้เกิดส่วนเกิน
ซึ่งถือเป็นความสูญเปล่าของทรัพยากร
การแข่งขันสูงขึ้น
หน่วยงานหรือบริษัทต่าง ๆ จะอยู่รอดได้ต้องมีการปรับปรุงตัวเองอยู่เสมอการเพิ่มผลผลิตก็เป็นแนวทางในการปรับปรุงประสิทธิภาพ คุณภาพ ลดต้นทุน
ทำให้เราสู้กับคู่แข่งขันได้
สรุปได้ว่า การเพิ่มผลผลิตเป็นจิตสำนึก
หรือเจตคติที่จะแสวงหาปรับปรุง และสร้างสรรค์สิ่งต่าง ๆ ให้ดีขึ้นอยู่เสมอ
ด้วยความเชื่อมั่นว่าเราสามารถทำวันนี้ให้ดีกว่าเมื่อวันนี้
และสามารถทำพรุ่งนี้ให้ดีกว่าวันนี้
การเพิ่มผลผลิตจึงเป็นความเพียรพยายามอย่างไม่มีที่สิ้นสุดที่จะปรับปรุงงาน
หรือกิจกรรมที่ทำให้ทันต่อความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นด้วยการใช้เทคนิควิธีการใหม่
ๆ
การเพิ่มผลผลิต (Productivity) เปนเครื่องมือสําคัญในการใชประโยชนจากทรัพยากรที่มีอยูอยางจํากัดใหเกิดประโยชน์สูงสุดการปรับปรุงการเพิ่มผลผลิตที่มีประสิทธิ
ภาพจะทำใหบรรลุเปาหมายของการเพิ่มผลผลิตนั่นคือมาตรฐานการครองชีพของประชาชนคนในชาติดีขึ้น ประชาชนคนในชาติอยู่ดี กินดี มีความสุข ผลที่ไดรับจากการเพิ่มผลผลิตตกอยูกับทุก
ๆ คนในชาติ ดังนั้นทุก คนในชาติ
ดังนั้นทุก คนในชาติ
หน่วยงานและสถานประกอบการจึงมีหนาที่ที่จะตองใหความความรวมมือในการปรับปรุงการเพิ่มผลผลิต
องค์ประกอบการเพิ่มผลผลิตที่ดีนั้น
มีอยู่ 7 ประการ คือ QCDSMEE ซึ่งส่งผลให้เกิดการเพิ่มผลผลิตที่ยั่งยืนและมีคุณธรรม
เพราะองค์ประกอบเหล่านี้ได้สนองตอบต่อลูกค้า
ต่อพนักงานและสนองตอบต่อสังคม ดังนี้คือ
ในการทำงานเป็นองค์ประกอบ
สนองตอบต่อสังคมที่หน่วยงานต้องปฏิบัติ
คือ ด้านสภาพแวดล้อม และจริยธรรมในการดำเนินธุรกิจเป็นองค์ประกอบ
ขอขอบคุณ http://www.thailandindustry.com
สืบค้นเมื่อวันที่ 29/11/2561
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น